ศาสดานูฮ์ในอัล-อัล-กุรอาน

นามของศาสดานูฮ์(อ.) ปรากฏในอัล-อัล-กุรอานถึง ๔๓ ครั้ง แต่ละครั้งมีความแตกต่างกันบางครั้งกล่าวถึงสภาพชีวิตของท่านเช่น ซูเราะฮ์ชุอะรออ์ มุอ์มินูน อะอ์รอฟ และฮูด จากโองการที่ ๒๕-๒๙ นอกจากนี้พระองค์ยังให้เกียรติท่านโดยตั้งชื่อซูเราะฮ์หนึ่งว่า นูฮ์
ซูเระาฮ์นูฮ์มีทั้งสิ้น ๒๘ โองการถูกประทานที่มักกะฮ์ ซูเราะฮ์ดังกล่าวนี้ได้อธิบายถึงสภาพชีวิต และการประกาศเชิญชวนประชาชนไปสู่การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว การเผยแผ่อย่างต่อเนื่อง และยังได้อธิบายถึงวิธีการและรายละเอียดของการเผยแผ่
บางตอนของซูเราะฮ์ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลทางตรรก และความเป็นห่วงเป็นใยของท่าน อีกทั้งเป็นคติเตือนใจนักเผยแผ่ทั้งหลายว่า จงอย่าเหน็ดเหนื่อยแต่จงอดทนต่อสู้เหมือนดั่งที่ท่านอดทนและจงอดกลั่นกับบรรดาพวกโง่เขลาที่ทำความผิดทั้งกลาย ซึ่งภาพรวมของซูเราะฮ์เป็นการสนับสนุนการต่อสู้ถาวรระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ เป็นการเตือนสำทับสำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของบรรดาศาสดา
ท่านศาสดาได้ประกาศเผยแผ่สาส์นนานถึง ๙๕๐ ปี ซึ่งบางริวายะฮ์กล่าวว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีเพียง ๘๐ คนเท่านั้นที่ยอมรับคำประกาศเชิญชวนหมายถึงทุก ๑๒ ปีมีเพียงคนเดียวที่ยอมรับสัจธรรม ซึ่งบางคนนอกจากจะไม่ยอมรับคำเชิญชวนของท่านแล้ว ยังได้ดูถูกดูแคลนและทรยศท่านอีกต่างหาก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภรรยาของท่าน นางได้บอกกับประชาชนว่านูฮ์เป็นบ้าไปแล้ว และถ้าใครเชื่อฟังนูฮ์นางก็จะแจ้งให้ผู้นำแห่งเผ่าของท่านทราบเพื่อให้เขาจัดการกับคนพวกนั้น [๑๑] หรือบุตรชายของท่านนามว่า กันอาน เขายอมทนทุกข์กับพายุที่โหมกระหน่ำแต่ไม่ยอมรับคำประกาศของท่าน ในที่สุดได้จมน้ำตาย ซึ่งเรื่องนี้ได้กล่าวไว้ในซูเราะฮ์ฮูด โองการที่ ๔๓
ท่านศาสดานูฮ์(อ.) ต้องอดทนต่อความยากลำบากในการเผยแผ่อย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าท่านจะเผชิญกับอุปสรรคแสนสาหัสอย่างไรท่านก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่การประกาศสาส์น ท่านยังคงอดทนและยืนหยัดต่อประชาชาติที่ดื้อรั้นต่อไป สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็น ๒๐ เกร็ดชีวิตของท่าน อันเป็นบทเรียนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต
เกร็ดชีวิตที่ ๑. ท่านศาสดาอาดัม (อ.) ได้ประกาศการมาของศาสดานูฮ์(อ.)
แม้ว่าช่วงระหว่างท่านอาดัม (อ.) กับท่านนูฮ์(อ.) จะห่างกันถึงแปดช่วงคนหรือประมาณ ๑๖๔๒ ปีก็ตาม แต่ท่านอาดัมได้ประกาศการมาของท่านศาสดานูฮ์ภายหลังจากท่านแก่ประชาชาติ
ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญของท่านอาดัม (อ.) อัลลอฮ์ (ซบ.) ได้ย้ำเตือนว่า แนวทางแห่งศาสดายังคงดำเนินต่อไปความตายไม่ได้เป็นตัวกำหนดวาระสุดท้าย หรือไม่ได้เป็นตัวตัดขาดแนวทางแต่อย่างใด แนวทางนี้ต้องดำเนินต่อไปตราบจนถึงวันแห่งการอวสานของโลก และช่วงห่างระหว่างเจ้ากับนูฮ์แผ่นดินจะไม่ปราศจากฮุจญัตอย่างเด็ดขาด และจนกว่าจะถึงการมาของนูฮ์ฉันจะแต่งตั้งสายเลือดของเจ้าให้เป็นผู้ชี้นำประชาชนต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักศาสนาของฉัน และเชิญชวนพวกเขามาสู่การเชื่อฟังปฏิบัติตามฉัน และในเวลานั้นพระองค์ได้แจ้งให้ท่านอาดัมทราบถึงการมาของนูฮ์เวลานั้นท่านอาดัมประกาศแก่ประชาชนว่า
โอ้ประชาชนทั้งหลายในอนาคต พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแต่งตั้งศาสดาท่านหนึ่งนามว่านูฮ์ท่านจะทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนไปสู่การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว แต่ประชาชาติจะทำการปฏิเสธและไม่ยอมรับท่าน พระผู้เป็นเจ้าจะคร่าชีวิตพวกเขาด้วยพายุที่ร้ายแรง ฉันขอเตือนพวกท่านว่าใครก็ตามที่อยู่ถึงสมัยของท่านจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามท่าน เพราะจะทำให้ผู้นั้นรอดปลอดภัยจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่จมน้ำตายเหมือนกับผู้ปฏิเสธคนอื่น ๆ
ท่านอาดัม (อ.) ได้มอบวะซียะฮฺ (พินัยกรรม) ฉบัยนี้แก่ตัวแทนของท่านนามว่า ฮับตุลลอฮฺ ซึ่งเป็นสายเลือดคนหนึ่งของท่านนามว่า ชัยซฺ ท่านได้ให้เขาสัญญาว่าจะอ่านพินัยกรรมฉบับนี้ (ประกาศการมาของนูฮ์) ทุก ๆ วันอีด และฮับตุลลอฮฺ ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่ท่านอาดัม เขาได้อ่านพินัยกรรมของท่านอาดัมทุกวันอีด จนกระทั่งในที่สุดท่านศาสดานูฮ (อ.) ได้ปรากฏตัวขึ้นและได้ทำหน้าที่ประกาศสาส์นของท่าน ซึ่งมีประชาชนบางคนตามพินัยกรรมของท่านอาดัม (อ.) ยอมรับคำประกาศของท่าน[๑๒]ส่วนมากปฏิเสธและเมื่อเกิดอุทกภัยพายุได้โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงน้ำได้ท่วมโลกครั้งใหญ่ พวกเขาก็จมน้ำตายในที่สุด
จะเห็นว่าหน้าที่หลักของท่านศาสดานอกจากจะทำการประกาศเชิญชวนแล้วยังต้องประกาศแต่งตั้งผู้เป็นตัวแทนก่อนที่ท่านจะจากไป อาจกล่าวได้ว่าเป็นหน้าที่หลักสุดท้ายของศาสดาทุกองค์ก็ว่าได้
ท่านศาสดานูฮ์ (อ.)
คุณลักษณะพิเศษท่านศาสดานูฮ์ (อ.)
อัล-กุรอานกล่าวถึงท่านศาสดานูฮ์ (อ.) ถึง 43 ครั้งด้วยกัน เรื่องราวของท่านศาสดานูฮ์ (อ.) ถูกกล่าวไว้พอสังเขปในซูเราะฮ์ อะอ์รอฟ , ชุอะรออ์ , เกาะมัร แต่ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ นูฮ์และฮูดอย่างละเอียด
ท่านศาสดานูฮ์ (อ.) มีคุณลักษณะโดดเด่นมากที่สุดท่านหนึ่งในหมู่บรรดาศาสดาทั้งหลาย ความโดดเด่นอันนี้มีผลมาจากสิ่งดังกล่าวต่อไปนี้
1.ได้รับตำแหน่งศาสดา” อูลุลอัซม์ “เป็นท่านแรก
ท่านศาสดานูฮ์ (อ.) ถือเป็นบรรพบุรุษของบรรดาศาสดาที่มีเชื้อสายต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.) เป็นศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่ง อูลุลอัซม์ ซึ่งได้รับบทบัญญัติจากอัลลอฮ์และมีหน้าที่เผยแผ่บทบัญญัติที่ได้รับมาแก่มนุษยชาติทั้งหลาย
หนึ่งในคุณลักษณะพิเศษของท่านศาสดานูฮ์ (อ.) คือ เป็นศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่งอูลลุอัซม์ โดย ได้รับหน้าที่เผยแพร่บทบัญญัติที่ประทานจากพระเจ้าให้โดยเฉพาะ ชื่อของท่านถูกกล่าวไว้ในอัล-กุรอานโดยถูกกล่าวไว้ในกลุ่มเดียวกับ ศาสดาอิบรอฮีม , ศาสดามูซา , อีซา อย่างเช่นในซูเราะฮ์ ชูรอ โองการที่ 13 กล่าวว่า :
“พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นูฮ์ และที่เราได้วะฮีย์แก่เจ้าก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮิม และมูซา และอีซาว่า พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกตั้งภาคีที่เจ้าเรียกร้อง เชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น อัลลอฮ์ทรงเลือกสำหรับพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์”
และในซูเราะฮ์ อะห์ซาบ โองการที่ 7 กล่าวว่า :
“และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้เอาคำมั่นสัญญาของพวกเขาจากบรรดานะบี และจากเจ้า และจากนูฮ์ และอิบรอฮีม และมูซา และอิซา บุตรของ มัรยัม และเราได้เอาคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจากพวกเขา”
2. บิดาคนที่สองแห่งมนุษยชาติ
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ท่านศาสดานูฮ์ (อ.) มีเหนือศาสดาท่านอื่นคือ เผ่าพันธุ์มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากท่าน เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ซึ่งไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้เลยนอกจาก ท่านศาสดานูฮ์ (อ.)เอง, ลูกของท่านและสาวกผู้ซื่อสัตย์บางคนเท่านั้น อัล-กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ซอฟฟาต โองการที่ 76 - 82 ว่า :
“ และเราได้ช่วยเขาและชุมชนของเขาให้พ้นจากทุกข์ภัยอันมหันต์ และเราได้ให้ลูกหลานของเขายังคงมีชีวิตเหลืออยู่ และเราได้ปล่อยทิ้งไว้ (เกียรติคุณ) แก่เขาในกลุ่มชนรุ่นหลัง ๆ ความศานติจงมีแด่นูฮ์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลายแท้จริง เขา (นูฮ์) อยู่ในปวงบ่าวของเราผู้ศรัทธา แล้วเราได้ให้พวกอื่นจมน้ำตาย “
และกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ฮูด โองการที่ 40 ว่า :
“จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา และบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า ”จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆ และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อน และผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย”
การรอดชีวิตของเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ เป็นผลมาจากความจำเริญและความเมตตาที่อัลลอฮ์ (ซบ.) มอบให้แก่ท่านศาสดานูฮ์ (อ.) จากตรงนี้เองจึงถือได้ว่าท่านศาสดานูฮ์ (อ.) คือบิดาท่านที่สองของมนุษยชาติต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)
3. มีอายุในการเผยแพร่ศาสนายาวนานที่สุด
อีกคุณสมบัติหนึ่งของท่านศาสดานูฮ์ (อ.) ที่ถูกกล่าวถึงในอัล-กุรอานก็คือท่านมีอายุไขที่ยาวนานที่สุด ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์อันกะบูตว่า “และโดยแน่นอนเราได้ส่งนูฮ์ไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี)”
คำว่าหนึ่งพันปี ยกเว้นห้าสิบปีที่มาใช้แทนคำว่า เก้าร้อยห้าสิบปีนั้นเป็นการเน้นย้ำถึงการมีอายุที่ยืนยาวนานและมีช่วงเวลาการเผยแพร่ที่ยาวนานซึ่งศาสดาท่านอื่นไม่เคยถูกกล่าวถึงในลักษณะเช่นนี้เลย
นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นเกี่ยวกับอายุของท่านศาสดานูฮ์ (อ.) ตั้งแต่การเกิดจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนั้น ตามคัมภีร์เตารอต กล่าวว่า อายุของท่านศาสดานูฮ์รวมทั้งหมด 950 ปี หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ศาสดานูฮ์ยังมีชีวิตอยู่อีกถึง 350 ปีและเสียชีวิตตอนอายุ 950 ปี
แต่หากดูตามความหมายของโองการที่กล่าวข้างต้น 950 ปีนั้นหมายถึงช่วงชีวิตที่ท่านทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่างหาก ซึ่งอายุไขของท่านจริงๆแล้วมากกว่านั้น
คุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มชนท่านศาสดานูฮ์
ในตอนแรกเรากล่าวถึง คุณสมบัติของท่านศาสดานูฮ์ไปแล้ว ในตอนสองนี้เราจะขอกล่าวถึงคุณสมบัติของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานูฮ์ได้รับหน้าที่ไปเผยแพร่สัจธรรม อัล-กุรอานกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาไว้ดังนี
1. เป็นพวกบูชาเจว็ด
หากพิจารณาจากอัล-กุรอานและรายงานทางประวัติศาสตร์จะพบว่า ในสมัยของท่านศาสดานูฮ์การบูชารูปปั้นเป็นความเชื่อหลักของชนในสมัยนั้น พวกเขาสร้างรูปจำลองพระเจ้าขึ้นมาและนำสิ่งดังกล่าวมาบูชากราบไหว้พร้อมทั้งให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแต่กลับปฏิเสธการเรียกร้องไปสู่การมีพระเจ้าองค์เดียวอย่างสิ้นเชิง
อัล-กุรอานกล่าวถึงกลุ่มชนดังกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 23 ว่า : “และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้ง วัดด์ และสุวาอ์ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซร์ เป็นอันขาด”
2. เป็นกลุ่มชนที่โง่เขลาและดื้อด้าน
ความโง่เขลาและความดื้อด้านได้ฝั่งรากลึกอยู่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ จนถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับตรรกะและการเรียกร้องไปสู่สัจธรรมใดๆทั้งสิ้น พวกเขาไม่รับฟังคำเรียกร้องไปสู่ความยุติธรรมและเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้โดยยกคำกล่าวของท่านศาสดานูฮ์ไว้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 7 ว่า : “และแท้จริงทุกครั้งที่ข้าพระองค์เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาเพื่อที่พระองค์ท่านจะได้อภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดรูหูของพวกเขา และเอาเสื้อผ้าของพวกเขาคลุมโปง และพวกเขายังดื้อรั้น และหยิ่งยโสด้วยความจองหอง ”
3. สังคมเต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อมเสีย
สังคมของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานูฮ์ใช้ชีวิตอยู่เต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อมเสียจนถึงขนาดที่ท่านศาสดานูฮ์เองไม่มีความหวังที่จะทำให้พวกเขาศรัทธาในพระเจ้าอีกต่อไป อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานูฮ์ไว้ในซูเราะฮ์นูฮ์โองการที่ 26-27 ว่า : “ และนูฮ์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้า ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้พวกปฏิเสธศรัทธาหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินนี้เลย * เพราะแท้จริง หากพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่ พวกเขาก็จะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หลงผิด และพวกเขานั้นจะให้กำเนิดแต่พวกเลวทราม พวกปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น ”
4. เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลในอำนาจและทรัพย์สิน
กลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลและเชื่อฟังผู้ที่มีอำนาจและคนที่ร่ำรวยเพี่อให้ได้ทรัพย์สินมาครอบครองพวกเขาใช้เล่ห์และอุบายหลอกลวงกันเองอย่างน่ารังเกียจที่สุด อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานูฮ์ ไว้ในซูเราะฮ์นูฮ์ โองการที่ 21-22 ว่า : “นูฮ์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพวกเขาได้ฝ่าฝืนข้าพระองค์และเชื่อฟังผู้ที่ทรัพย์สินและลูกหลานของเขามิได้เพิ่มพูนอันใดแก่เขานอกจากการขาดทุน ”
5. เป็นกลุ่มชนที่มีผู้ศรัทธาอยู่น้อยมาก
ความเสื่อมเสียและการปฏิเสธการมีพระเจ้าองค์เดียวถึงแม้จะมีให้เห็นทั่วไปในกลุ่มชนอื่น แต่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกจนยากที่จะแก้ไขได้ จนถึงขนาดที่ว่าท่านศาสดานูฮ์ใช้เวลาถึง 950 ปีในการเผยแพร่สัจธรรมแต่มีเพียง 80 คนเท่านั้น !!! ที่ตอบรับคำเรียกร้องท่านศาสดานูฮ์
มีรายงานฮะดิษจากศาสดามุฮัมมัดที่กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า : “ แท้จริงท่านศาสดานูฮ์ได้เผยแพร่เรียกร้องกลุ่มชนของตัวเองเป็นเวลาถึง 950 ปี และอัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาที่มีจำนวนผู้ศรัทธาน้อยมาก และท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า : พวกเขาไม่ได้ศรัทธาต่อนูฮ์เลยนอกจากคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ศรัทธาต่อเขา มีคนปฏิบัติตามฉันตั้งแต่ฉันยังมีอายุน้อยจนกระทั่งฉันแก่ชรา แต่ในขณะที่ไม่มีคนศรัทธาต่อนูฮ์เลยจนกระทั่งเขาชราภาพ ”
และมีสายรายงานจากท่านอิบนิอับบาสว่า ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า : “ ท่านศาสดานูฮ์นำสาวกเพียง 80 คนขึ้นเรือไปพร้อมกับท่านด้วย ”
ขั้นตอนการเผยแพร่ของท่านศาสดานูฮ์
ในช่วงแรกของชีวิตท่านศาสดานูฮ์ ท่านใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากผู้คนโดยท่านอาศัยอยู่ท่ามกลางหุบเขาและทำการเคารพภักดีพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา อัล-กุรอานไม่ได้กล่าวถึงชีวิตของท่านในช่วงนี้เลย แต่จะกล่าวถึงในช่วงที่ท่านศาสดานูฮ์เริ่มเผยแพร่ศาสนา โดยที่อัล-กุรอานเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงการประกาศศาสนาของท่านศาสดานูฮ์ที่เรียกร้องให้ประชาชนสู่การเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียวเพื่อจะได้รับความผาสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 25 – 26 ว่า : “ และโดยแน่นอน เราได้ส่งนูฮ์ไปยังกลุ่มชนของเขา (โดยกล่าวว่า) “แท้จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันแน่ชัดแก่พวกท่านแล้วคือพวกท่านอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันเจ็บปวด ”
ท่านศาสดานูฮ์ใช้ความพยายามทั้งกลางวันและกลางคืนในการเรียกร้องประชาชนไปสู่อิสรภาพที่แท้จริง อัล-กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 5 ว่า : “ เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของข้าพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน ”
อัล-กุรอานยังกล่าวถึงประเด็นนี้อีกในซูเราะฮ์ นูฮ์ ในโองการที่ 8 – 9 ว่า : “ ครั้นแล้วข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาอย่างเปิดเผย แล้วข้าพระองค์ก็ได้ประกาศแก่พวกเขาอย่างเปิดเผย อีกทั้งข้าพระองค์ยังได้บอกกล่าวแก่พวกเขาอย่างลับ ๆ อีกด้วย ”
ท่านศาสดานูฮ์ทำทุกวิถีทางในการนำเสนอสัจธรรมและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อนำพวกเขาไปสู่การเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียว ท่านกล่าวถึงคุณลักษณะอันสูงส่งของพระเจ้า กล่าวถึงความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์โดยหวังว่าจะโน้มน้าวหัวใจของพวกเขาไปสู่ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 10 – 16 ว่า :
“ ข้าพระองค์ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริง พระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่านและจะทรงทำให้มีสวนมากหลายแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากหลายแก่พวกท่าน ทำไมพวกท่านจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์และโดยแน่นอนพระองค์ทรงสร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้น ๆ อย่างไร และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่าง และทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ”
หมดหวังในความศรัทธาของกลุ่มชน
ท่านศาสดานูฮ์ไม่เคยได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนในความพยามอย่างมากมาย เพื่อชี้นำมนุษย์ นอกจากการถูกกลั่นแกล้ง การข่มขู่ และการเป็นศัตรูเท่านั้น อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ชุอารออ์ โองการที่ 116 ว่า :
“ พวกเขากล่าวว่า โอ้ นูฮ์ หากท่านไม่หยุดยั้งแน่นอนท่านจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขว้างด้วยก้อนหิน
ความดื้อรั้นของกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ ถึงขนาดที่ว่าบ่าวผู้อดทนอย่างท่านศาสดานูฮ์ ต้องร้องขอต่ออัลลอฮ์ให้ตัวเองรอดพ้นจากความเลวร้ายของกลุ่มชนนี้ อัล-กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ชุอารออ์ โองการที่ 117 – 118 ว่า :
“ เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงหมู่ชนของฉันปฏิเสธฉัน ดังนั้นขอพระองค์ทรงตัดสินระหว่างฉันกับพวกเขาโดยยุติธรรมเถิด และทรงโปรดช่วยฉัน และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับฉันให้รอดพ้นด้วยเถิด ”
ท่ามกลางความเลวร้ายและการกลั่นแกล้งจากกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ ท่านมิได้ทอดทิ้งพวกเขาเลย จนกระทั่งมีคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านสร้างเรือ มีคำสั่งให้สร้างเรือ
ช่วงชีวิตที่ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของท่านศาสดานูฮ์ คือช่วงเวลาในการสร้างเรือ เพราะช่วงนี้เองท่านถูกข่มขู่ ถูกกลั่นแกล้งแม้กระทั่งถูกทรมานอย่างรุนแรงที่สุด อัล-กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 36 – 37 ว่า :
“ และได้มีวะฮ์ยูแก่นูฮ์ว่า “แท้จริงจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธาแล้ว ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ และเจ้าจงสร้างเรือต่อหน้าเราและตามคำบัญชาของเรา และอย่ามาพูดกับข้า ถึงบรรดาผู้อธรรม แท้จริงพวกเขาจะถูกจมน้ำตาย ”
หลังจากได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้สร้างเรือ ท่านได้เริ่มสร้างเรืออย่างมุ่งมั่น แต่พื้นที่ที่ท่านศาสดานูฮ์อาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายห่างไกลจากแม่น้ำและทะเล ด้วยเหตุนี้เองการสร้างเรือในสภาพที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับกลุ่มชนของท่านอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านและเห็นท่านศาสดากำลังสร้างเรือ พวกเขาจะเยาะเย้ย และกลั่นแกล้งเป็นประจำ
อัล-กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 38 ว่า : “ และเขาได้สร้างเรือ และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของเขาเดินผ่านเขา (นูฮ์) พวกเขาก็เยาะเย้ย เขาก็จะกล่าวว่า “หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย ”
จากอายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ว่า พวกมีอำนาจในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ จะคอยกลั่นแกล้งท่านและสาวกของท่านอยู่ตลอดเวลา ใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นท่านศาสดานูฮ์ จะกล่าวเย้ยหยันท่าน บางคนกล่าวว่า “ โอ้ นูฮ์ นอกจากเจ้าจะเป็นศาสดาแล้วยังเป็นช่างไม้ด้วยนะ ” หรือบางคนกล่าวว่า “ สร้างเรือบนบกแบบนี้ เจ้าจะใช้มันเมื่อไหร่กัน ”
อัล-กุรอานกล่าวถึงคำตอบท่านศาสดานูฮ์ ที่กล่าวตอบแก่พวกเขาไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 39 ว่า :
“ แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา และการลงโทษยาวนานจะประสบแก่เขา ”
อย่างไรก็ตามท่านศาสดานูฮ์ได้สร้างเรือตามคำสั่งของอัลลอฮ์จนเสร็จ หลังจากนี้เองเป็นช่วงเวลาที่ท่านศาสดานูฮ์รอคำสั่งจากอัลลอฮ์อีกครั้งเพื่อให้พระองค์ทรงทำให้เกิดพายุและน้ำท่วม โปรด
เหตุการณ์น้ำท่วมโลก
เหตุการณ์น้ำท่วมโลกเป็นช่วงสุดท้ายของการรอคอยของท่านศาสดานูฮ์ เป็นช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ถึงความอ่อนแอของบรรดาเจว็ดและพวกบูชาเจว็ดทั้งหลายรวมทั้งเป็นการพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ (ซบ.)
หลังจากที่ท่านศาสดานูฮ์ ได้เห็นสัญญาณต่าง ๆ ที่แสดงถึงการเกิดน้ำท่วมโลก ท่านได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้นำสัตว์ทั้งหลายขึ้นเรือ ท่านศาสดานูฮ์ได้นำสัตว์แต่ละชนิดขึ้นเรือเป็นคู่ ๆ พร้อมทั้งบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมด (ยกเว้นภรรยาและบุตรชายของท่านเอง) โดยก้าวขึ้นเรือด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์และหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังในความเมตตาของพระองค์
อัล-กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 40 – 41 ว่า - จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา และบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า “ จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆและครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อนและผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย และเขากล่าวว่า “พวกท่านจงลงในเรือด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ทั้งในยามแล่นของมันและในยามจอดของมัน แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ ”
หลังจากที่ท่านศาสดานูฮ์และบรรดาสาวกผู้ศรัทธาขึ้นเรือแล้ว มีคำสั่งจากฟากฟ้าให้ลงโทษกลุ่มชนผู้ปฎิเสธ เมื่อนั้นเองท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆฝน ฝนเม็ดใหญ่เทลงมาเสมือนกับว่าประตูแห่งท้องฟ้าได้เปิดออก อีกด้านหนึ่งเกิดตาน้ำที่มีน้ำพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงไปทั่วผืนแผ่นดิน หลังจากนั้นไม่นานเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่กลุ่มชนผู้ปฏิเสธอย่างรุนแรง จนกระทั่งบรรดาผู้ปฏิเสธต่างหมดหวังที่จะมีชิวิตรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้
อัล-กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 42 – 43 ว่า - และมันแล่นพาพวกเขาไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขา และนูฮ์ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว “ โอ้ ลูกของฉันเอ๋ย ! จงมาขึ้นเรือมากับเราเถิด และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย ” เขา (ลูกชาย) กล่าวว่า “ ฉันจะไปอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง มันจะคุ้มครองฉันจากน้ำนี้ได้ ” เขา (นูฮ์) กล่าวว่า “ ไม่มีผู้ใดคุ้มครอง (เจ้าได้) ในวันนี้ (ให้พ้น) จากพระบัญชาของอัลลอฮ์ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา ” และคลื่นได้ซัดเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง และเขา(ลูกชาย) ได้อยู่ในหมู่ของผู้จมน้ำตาย
หลังจากเหตุการณ์สงบลง เรือของท่านศาสดานูฮ์มาหยุดอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง สัญญาของพระผู้เป็นเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว สัญญาที่พระองค์จะทำให้บรรดาผู้ศรัทธาได้รับชัยชนะและทำลายพวกบูชาเจว็ดทั้งหลาย ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกกำลังจะเกิดขึ้น ทุกสิ่งกำลังถูกตระเตรียมให้ไปสู่การศรัทธาและความบริสุทธิ์ อัล-กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด อายะฮ์ที่ 44 – 48 ว่า
“แผ่นดินเอ๋ย! จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ย ! จงหยุด” และน้ำได้ลดลงและกิจการได้ถูกตัดสิน และมันได้จอดเทียบอยู่ที่ยอดเขา และได้มีเสียงกล่าวว่า “ความหายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด” และนูฮ์ได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ และแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์เท่านั้นทรงตัดสินเที่ยงธรรมยิ่งในหมู่ผู้ตัดสิน พระองค์ทรงตรัสว่า
“โอ้ นูฮ์เอ๋ย ! แท้จริงเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า แท้จริงการกระทำของเขาไม่ดี ดังนั้นเจ้าอย่าร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน ให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ท่านในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเมตตาข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ของผู้ขาดทุน ได้มีเสียงกล่าวว่า
โอ้ นุห์เอ๋ย ! จงลงไป (จากเรือ) ด้วยความศานติจากเรา และความจำเริญแก่เจ้า และแก่กลุ่มชนที่อยู่กับเจ้า และกลุ่มชนอื่นที่เราจะให้พวกเขาหลงระเริง แล้วการลงโทษอย่างเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้สนับสนุน