ความหมายของปาฏิหาริย์ (อิอ์ญาซ) ของอัลกุรอาน

คำว่า อัล อิอ์ญาซ (ปฏิหาริย์) ในด้านภาษามีความหมายหลายแง่ด้วยกัน เช่น ปรากฏการณ์ที่เกิดอย่างฉับพลัน การมีฤทธิ์เดช การสำแดงให้สิ่งที่สุดวิสัยสำหรับคนอื่นเกิดขึ้น เช่นมักจะมีการกล่าวกันว่า งานของบุคคลนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งเป็นงานที่สุดวิสัยสำหรับคนอื่น เป็นต้น ในทางวิชาการ คำนี้หมายถึงการมีผู้อ้างตนว่า ถูกแต่งตั้งมาจากพระผู้เป็นเจ้า แล้วสามารถบันดาลให้มีปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ และกิจการที่สุดวิสัยสำหรับคนอื่นเกิดขึ้น แล้วกิจการอันนั้นก็จะได้เป็นพยานยืนยันถึงความตามข้ออ้างดังกล่าว กิจการที่สุดวิสัยสำหรับผู้อื่น จะยืนยันความจริงของผู้แสดงกิจการนั้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้แสดงกิจการนั้นสามารถทำให้เป็นจริงตามข้ออ้างเท่านั้น ครั้นหากความจริงตามข้ออ้างของเขาขัดกับกฎเกณฑ์ที่ยืนยันมาจากนบีหรืออิมามมะอ์ศูม (ผู้ปราศจากบาป) (อ.) ก็จะไม่ถือว่ากิจการนั้นเป็นความจริง และกิจการนั้นก็ยังไม่ได้ชื่อว่า เป็นปาฏิหาริย์ตามความหมายในวิชาการทางศาสนา ถึงแม้ว่าปุถุชนธรรมดาจะกระทำได้ก็ตาม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ 1 ไม่ว่ากรณีใด ถ้าบุคคลใดอ้างตัวเป็นพระเจ้า โดยกฎเกณฑ์ทางสติปัญญา ถือว่าข้ออ้างนี้เป็นไปไม่ได้ สำหรับข้อพิสูจน์ที่ถูกต้องทั้งหลายล้วนเป็นหลักฐานยืนยันว่า ข้ออ้างนี้มิอาจเป็นไปได้ ตัวอย่างที่ 2 ไม่ว่ากรณีใด ถ้าผู้ใดอ้างตนว่าเป็นนบี หลังจากนบีแห่งอิสลาม นั้นหมายความว่า ข้ออ้างนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง ตามกฎเกณฑ์ของหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้จากนบีแห่งอิสลามและหลักฐานจากบรรดาคอลีฟะฮ์มะอ์ศูมของท่าน ที่ยืนยันว่า ตำแหน่งนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เป็นตราประทับความสมบูรณ์ของนบีทั้งหลาย เมื่อข้ออ้างเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง พยานหลักฐานจะให้ประโยชน์อะไรได้อีก ถึงแม้ผู้อ้างตนจะสามารถนำพยายานหลักฐานมาแสดงได้ก็ตาม สำหรับอัลลอฮ์ (ซบ.) ไม่ทรงมีความจำเป็นอันใดที่จะลบล้างสิ่งเหล่านั้น ในเมื่อกฎเกณฑ์ทางสติปัญญาสามารถพิสูจน์ถึงความเป็นไปมิได้ของข้ออ้างหรือหลักฐานอ้างอิงนั้น ๆ ได้อยู่แล้ว ว่าสิ่งนั้นเป็นโมฆะ มีชายคนหนึ่งอ้างตนว่า เป็นผู้ถูกแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า ต่อมาเขาได้แสดงการกระทำหนึ่งที่ปุถุชนคนอื่น ๆ สุดวิสัยจะกระทำได้ แต่การกระทำนั้นยืนยันให้เห็นว่า ผู้อ้างตนผู้นั้นเป็นคนพูดเท็จ ดังมีรายงานเล่าว่า มุซัยลามะฮ์ได้ทำให้น้ำที่มีเพียงเล็กน้อยในบ่อเพิ่มปริมาณขึ้นจนเต็มบ่อ และเขาได้ใช้มือลูบไปที่ศรีษะของเด็ก ๆ ตระกูลฮะนีฟะฮ์เพื่อทำขวัญเด็กเหล่านั้น จนศรีษะของเด็ก ๆ เหล่านั้นมีรอยลูบติดอยู่ และเขายังได้เปิดเพดานปากของเด็กทุกคน เมื่อผู้แอบอ้างได้แสดงหลักฐานเช่นนี้ไม่จำเป็นสำหรับอัลลอฮ์ (ซบ.) ที่จะทรงลบล้าง เพราะว่าในกรณีเยี่ยงนี้ การแอบอ้างของเขาเองก็เพียงพอที่จะถูกลบล้างได้อยู่แล้ว และการกระทำเช่นนี้ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ในแง่วิชาการศาสนา การกระทำต่าง ๆ ที่แสดงโดยพวกเล่นไสยศาสตร์และนักมายากลหรือการกระทำของผู้รู้บางแขนง วิชาที่มีศิลปะละเอียดอ่อน สลับซับซ้อนก็ยังไม่ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ในแง่วิชาการศาสนา ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะสามารถแสดงให้ปรากฎในสิ่งที่สุดวิสัยสำหรับคนอื่น ๆ ก็ตาม และไม่จำเป็นสำหรับอัลลอฮ์ (ซบ.) ที่จะทรงลบล้างการกระทำนั้น ๆ ในเมื่อเป็นที่รู้ว่าการกระทำของคนผู้นั้นจะอ้างตนว่าเป็นผู้ถูกแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า และได้แสดงหลักฐานยืนยันให้เห็นว่าเขาพูดความจริงก็ตามเพราะวิชาความรู้ที่มีศิลปะอันละเอียดอ่อนสลับซับซ้อนนั้นจะมีหลักเกณฑ์ที่รู้กันอยู่สำหรับคนในวงการนั้น ๆ และหลักเกณฑ์เหล่านั้นก็ย่อมทำให้บรรลุถึงผลลัพท์ของมัน แม้อาจจำเป็นอาศัยการจัดลำดับขั้นตอนที่ละเอียดพิสดารก็ตาม จากการเปรียบเทียบเช่นนี้ความลี้ลับต่าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะเคยเป็นสิ่งลี้ลับสำหรับคนทั่วไป และบางเรื่องก็เคยเป็นความลี้ลับสำหรับบรรดาแพทย์กันเองด้วยซ้ำ มิได้เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจต่อการที่อัลลอฮ์ (ซบ.) จะทรงเจาะจงให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดมีความรู้แจ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งบางทีเรื่องนั้น ๆ มีความละเอียดอ่อน และไกลเกินไปที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ แต่ทว่าสิ่งที่น่ารังเกียจก็คือ คนโง่เขลาที่ปล่อยให้ความโง่เขลาลวงล่อ และปล่อยให้สิ่งปาฏิหาริย์อยู่ในมือของคนโกหก แล้วเขาก็ล่อลวงคนทั้งหลายให้พลาดหลงไปจากวิถีแห่งธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้สนับสนุน